more addictive than Forza Horizon 5

It's not a game, it's a masterpiece of art

Easily become Game of the Year for me. love every element in this game, especially the insane art direction and music.

Remedy Entertainment and Sam Lake did a great job, setting a new standard for narrative-based video games with this sequel.

seen all endings, and I need to say that this expansion makes the game far beyond perfect.

love the vibe, the realistic dialogue and every damn moment in story quests

start over with the main quest, far better than the launch version. this is what cyberpunk 2077 should to be.

good start but slowly becomes typical JRPG's story. there's no new innovative feature, yet it is still a fine action game.

best cinematic in video game history, I get those goosebumps every time when thinking about that scene.

Excluding the performance of the game (which, although patched, is still terrible for PS5)

This is the best Star Wars game ever. Both in terms of story, presentation, and gameplay. Also the best game from the Respawn team as well.

best shadow dropped game of the decade.

(ของเก่าจากเพจ Juke With Me - รีวิวหลังเกมออกไม่นาน)

การนับเลข 3 ของซีรียส์โหด มัน ฮา อย่าง Borderlands หลังจากห่างหายจากภาคล่าสุดอย่าง Pre-Sequel ไปร่วม 5 ปี และ Tales from the Borderlands ไปอีก 4 ปี

ถึงตัวเลขมันจะไม่ได้นานมากนัก แต่ก็ต้องบอกว่า มันรู้สึกเหมือนรอมานานจริงๆ เพราะเนื้อเรื่องหลักมันแทบไม่ได้คืบหน้าไปจากภาค 2 เท่าไหร่ ก็ต้องบอกว่าโชคดีที่การรอคอยมันสิ้นสุดลงสักที ตอนนี้ยังเล่นไม่จบแต่อยากรีบมาเล่าสู่กันฟังสักนิดหน่อยก่อน

- ถ้าไม่นับข่าวเดือดๆ ในช่วงก่อนเกมออก (ที่เยอะใช่ย่อย😂) ก็ต้องบอกว่าตัวอย่างที่ทาง Gearbox เผยนั้นยกระดับให้ตัวเกมดูอาร์ตขึ้นเยอะเลย

- มันมาทรงนี้จริงๆ เพราะแค่ปกเกมก็อย่างเท่แล้ว แถมถ้าใครซื้อแผ่นก็จะทราบว่าตัวปกทำเป็นสีเรืองแสงๆ เหมือนพวกการ์ดฟอยล์ด้วย สุดจะงาม

- จะไม่พูดถึงไม่ได้คือ Intro เปิดเกม ที่กระตุกความ hype แรงๆ ให้หายคิดถึง คือขึ้นมาเจอมาร์คัสเล่าเรื่องก็น้ำตาซึมแล้ว ทั้งยังช็อต Signature ระหว่างเจ้า Skag กับแก๊ง Bandit ก็ยังมีให้เห็น

- เป็นการเปิดเกมที่สนุกมากอย่างที่ทุกคนจะต้องชอบไม่ใช่แค่แฟน Borderlands เท่านั้น. เรายิ้มไม่หยุดเลย แค่นี้ก็มีความสุขแล้วจริงๆ

- ภาพรวมอาจจะไม่ได้พีคมากอย่างที่ Pre-Sequel ทำเอาไว้ ที่พาเราทะยานขึ้นอวกาศกันมันส์ๆ แต่เริ่ม อันนี้ก็จะเป็นอีกฟีลนึง แต่แน่นอนว่าเพลงเปิดก็ยังคงเลือกมาได้ฉลาดมากเช่นเดิมอยู่ดี ฟังเพลินๆ โยกตามอย่างสนุกๆ

- First Impression หลังจากเริ่มบังคับตัวละครได้ ก็คือ Performance โคตรเลวร้าย

- สำหรับแพลตฟอร์ม PS4 คือกระตุกแบบถ้าเล่นต่อมีหวังมึนตาย (ขนาดเครื่องโปร) ตรงนี้ต้องไปปรับใน Option ให้เลือกจะเน้น Performance มากกว่า Resolution ก็จะกลับมาลื่นปกติ แต่ก็งงเหมือนกันว่าถ้ามันกระตุกขนาดนี้ก็ควรจะปรับ Prefer Performance เป็นค่าตั้งต้นแล้วรึเปล่า?

- ทั้งนี้สำหรับ XBOX ไม่รู้ว่าเจอแบบนี้ไหม ส่วน PC ก็คงไม่น่าเป็นปัญหา เพราะเราต้องปรับให้รู้สึกว่าลื่นก่อนเล่นอยู่แล้ว

- การพูดโต้ตอบของตัวละครเรากับ NPC ก็ยังรู้สึกว่าไม่มีชีวิตชีวาเท่าไหร่ เพราะมันเว้นจังหวะแบบดูออกว่าไม่ไหลลื่น แถมในคัทซีนเราก็ยังเป็นใบ้อยู่ดี

- Unreal Engine 4 สุดยอด ฟิสิกส์ในเกมพัฒนาขึ้นไปเยอะมาก เหยียบต้นไม้ใบหญ้าก็มีล้มตาม แสงเงาตกกระทบนี่จัดเต็ม แถม Texture ก็มีการเปลี่ยนด้วย อาทิกำแพงผนัง ที่เวลาโดนยิงก็จะมีแตกกระจุยออกมาเป็นชิ้นๆ

- ภาพงามขึ้น เลยแอบรู้สึกว่ามันดูสมจริงไม่สมกับคำว่า Unreal เหมือนกัน จะค่อนข้างคล้ายกับหลายๆ เกมในยุคนี้ จนเฉยๆ กับอาร์ตสไตล์แบบนี้แล้ว ขึ้นอยู่กับมุมมองจริงๆ ว่าชอบมั้ยที่ภาพมันพัฒนามาในทางนี้ การมีเส้นคล้ายการ์ตูนมันกลายเป็นกรอบสำคัญที่ทำให้กราฟิคกระโดดไปมากกว่านี้ไม่ค่อยจะได้ แต่เอาเถอะ ส่วนตัวมองว่าพัฒนาเรื่องไลต์ติ้งให้ดูดีมาได้ขนาดนี้ก็พอใจแล้ว

- UI ทันสมัยขึ้นในแบบของ Borderlands. ภาพลักษณ์เวลายิงแล้วเห็นหลอดเลือดค่อยๆ ลด ตัวเลขวิ่งกระจุยอะไรงี้ดูสมูทขึ้น เลยพลอยรู้สึกว่ายิงสนุกขึ้นด้วย

- ล้อนู่นนี่มีให้เห็นเต็มไปหมด มุกเลวๆ มุกเล่นคำ มุกตลกร้ายก็ยังเยอะเหมือนเดิม เล่นทิ้งเล่นขว้าง ยิง 10 ฮาสัก 2 ตามฟอร์มของซีรียส์นี้ บางมุกก็ไม่รู้ว่าจะต้องรู้สึกยังไงกับแม่งดี

- Map กลายเป็นสามมิติให้ซูมๆ หมุนๆ ดูได้ ลดความปวดหัวระหว่างทำเควสลงเยอะมาก ช่วยมากจริงๆ เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ตอบโจทย์สุด

- เพิ่มการปีนป่ายเข้ามา ทำให้เคลื่อนที่ผ่านสิ่งกีดขวางอิสระขึ้น เป็นลูกเล่นที่ถูกเอามาต่อยอดเยอะมากในเกม เรียกว่าใช้คุ้ม

- ส่วนปืนนี่ไม่ต้องห่วง มีของเล่นใหม่เยอะมากกกก เลือกใช้กันเพลิน แต่ละยี่ห้อก็บาลานซ์กันดีกว่าเมื่อก่อนด้วย

- มีบั๊กให้เห็นค่อนข้างมากทีเดียว ทั้งแสดงเควสผิด, ขึ้นคนพูดผิดรูป, ฟีเจอร์ไม่ปลดล็อค กด Fast Travel ไม่ได้ ต้องเข้า Option ไปรีเซ็ต Tutorial ใหม่ (เรื่องร้ายแรงนะเฮ้ย) รวมถึงเควสบั๊กก็มีให้เห็นเยอะ แต่เท่าที่เจอทั้งหมดแก้ได้ด้วยการออกเกมแล้วกลับเข้ามาใหม่

- บางทีก็รุนแรงถึงขนาดเกม crash ไปเลย

- ซับไตเติ้ลยังขึ้นไม่ค่อยตรงกับเสียงที่พูดจริงๆ อันนี้เป็นปัญหาที่เจอมาตั้งแต่ภาค 2 / Pre แล้ว และเหมือนจะเป็นแค่คอนโซล เพราะตอนเล่น PC (ภาคเดียวกัน) ไม่ยักเจอ บางจังหวะจะถึงขนาดว่าพูดประโยคยาวๆ ไปสัก 2-3 วิ แล้วถึงจะสลับเอาส่วนที่แสดงไม่หมดขึ้นมาให้อ่านต่อ แต่พอพูดจบก็จะหายไปเลย กลายเป็นว่าอ่านประโยคหลังๆ ไม่ทันงี้

- บางครั้งถ้าเรากำลังกดหรือทำอะไรอย่างอื่นอยู่ระหว่างตัวละครพูด ซับก็จะไม่แสดงเลยด้วยซ้ำ กลายเป็นว่าต้องฟังๆ จับใจความเอาเอง

- ยังคงเป็นเควสในเควสในเควสเหมือนเดิม คือถ้ารับมันทุกเควสที่ขวางหน้านี่ พอจบอันนึงไปต่ออันนึงก็ถือว่ามึนอยู่เหมือนกัน

- แต่ทุกเควสภาคนี้ถือว่าดีไซน์มาดี ไร้สาระก็ไร้สาระให้สุด เรารู้สึกว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเรื่องหลักขึ้นเยอะ

- ตัวละครภาคนี้มีสเน่ห์น่าสนใจทั้งที่มาใหม่และหน้าเก่าๆ เลย รู้สึกว่ามันเป็นจุดบรรจบจากภาคก่อนๆ ที่ลงตัวมาก ทุกคนดูอยู่ถูกที่ถูกทาง และเกี่ยวข้องกันเหมาะเจาะ ที่สำคัญหลายคนก็เปลี่ยนลุคไปแล้วดูดีขึ้น

- ถ้าถามว่า โลกที่ไม่มีแจ๊คจะยังสนุกอยู่อีกเหรอ? ก็ต้องบอกเลยว่าสนุก มันมูฟออนเลยจุดนั้นไปไกลแล้ว

- (สปอยล์นิดหน่อย) คือดีใจ+ตกใจมาก ที่ได้เห็นการกลับมาของ Rhys (พระเอกของ Tales) อารมณ์แบบเฮ้ยจะได้เห็นความเป็นไปของตัวละครนี้ต่อ แต่พอได้เจอจริงๆ ถึงรู้ว่าเสียงพากย์มันไม่ใช่ Troy Baker นี่หว่าาา ก็เลยกลับไปตามๆ ข่าวแล้วถึงรู้ว่ามีดราม่าเกี่ยวกับการเปลี่ยนนักพากย์ของ Rhys อยู่ ก็ถือว่าน่าเสียดาย และมันทำให้รู้เลยว่าเสียงพากย์นี่มีผลต่อภาพลักษณ์ของตัวละครจริงๆ แฮะ รู้สึกเหมือน Rhys กลายเป็นคนละคนไป แต่เอาเถอะ ฟินๆ หายคิดถึง รู้สึกว่าทีมงานใส่ใจกับการนำเอา Tales มาเชื่อมกับจักรวาลหลักมากๆ

- สำหรับใครเสียดายความเวิ้งๆ ตะลุยอวกาศแบบภาค Pre-Sequel ก็หายห่วงได้ว่าภาค 3 ยังคงมีกลิ่นอายแบบนั้นอยู่ แถมสภาพแวดล้อมโลเกชั่นนี่หลากหลายขึ้นเยอะจริงๆ เรียกว่าเสพทิวทัศน์กันจนงามตา

- เนื้อเรื่องขยายสเกลขึ้นใหญ่โตมาก และน่าจะสนุกจุใจสมกับที่รอไม่มากก็น้อย

- แต่ละแบรนด์ที่ผลิตปืนเข้ามามีบทบาทกับเรื่องมากขึ้น ให้เห็นว่าจักรวาลนี้มันมีที่มาที่ไปหมด อยากรู้หน้าค่าตาของเจ้าของแบรนด์อื่นๆ นอกเหนือจาก Hyperion. ก็จะได้เห็น

- แก๊ง Bandit ที่เรียกว่าเป็นจุดขายของภาคมีการปรับเปลี่ยนไปนิดหน่อย เก่าไปใหม่มา เปลี่ยนจาก Midget (คนแคระตัวเล็กๆ เสียงกวนๆ) เป็น Tink แทน พาร์ทนี้ถือว่าเป็นสีสันของเกมที่ขาดไม่ได้ คือวันไหนเครียดๆ ได้กลับมาสาดกระสุนใส่เจ้าพวกนี้ก็ระบายอารมณ์ไปอีกแบบ

- เพลงที่ Insert เข้ามาในเกมคือที่สุด ทั้งระหว่างสู้บอสที่มันมากจนต้องโยกตาม หรือบาง Chapter ที่เปิดเพลงโคตรโดน ช่วยเติมรสชาติให้เล่นสนุกขึ้นมากจริงๆ (Chapter ที่ว่านี่น่าจะสนุกที่สุดตั้งแต่เล่น Borderlands มา)

- จากที่เห็นในตัวอย่างเราจะได้เห็นเมืองเท่ๆ ล้ำๆ ให้ฟีล Cyberpunk เบาๆ อันนี้ก็เป็นจุดที่สอบผ่านของเกม และใส่สีสันแสงนีออนเข้ามาเยอะดูงามตาไปหมด คือได้เสพบรรยากาศจนอิ่ม เป็นอีกมิติของเกมที่แปลกใหม่แต่ถูกใจมาก

โดยรวมแล้ว Borderlands 3 ถือเป็นการรียูเนี่ยนของตัวละครที่หายคิดถึงเป็นปลิดทิ้ง ยังคงเป็นเกม Shooter Looter บู๊แหลกแจกกระสุน ที่แม้จะตกยุคไปสักหน่อยสำหรับปี 2019 แต่ก็ต้องบอกว่ามันคือสูตรที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้ว และ Gearbox ก็ยังมั่นคงกับมันต่อ แค่นั้นก็น่าพอใจยิ่ง สำหรับความเป็นภาคต่อที่อย่างน้อย พวกเขาก็ทำส่วนที่ดีให้ยังคงดีอยู่

ในจุดของความที่เป็นภาค 3 จึงต้องเรียนด้วยเช่นกันว่า ถึงเนื้อเรื่องจะไม่ซับซ้อน แต่มันก็เล่าไปอีกสเกลหนึ่งแล้ว ดังนั้นถ้าเพิ่งมาเล่นใหม่ภาคนี้ก็จะรับไปได้แค่ส่วนของความสนุกเท่านั้น ถ้าจะเอาให้อินกับเนื้อเรื่องด้วย อาจจะต้องย้อนกลับไปเล่นอย่างน้อยก็ 2 เกม คือ Borderlands 2 (รวม DLC สุดท้าย) และ Tales From the Borderlands

(ของเก่าจากเพจ Juke With Me - รีวิวหลังเกมออกไม่นาน)

- ก่อนอื่น มีบางท่านอาจจะสงสัยว่า ทำไมเกมนี้ถึงมักถูกเรียกว่าเป็น Dark Souls ในเวอร์ชั่นอนิเมะ มันเหมือนขนาดนั้นเลยหรือยังไง

- ก็ต้องบอกว่า Code Vein ไม่ได้ถูกพัฒนาโดย FromSoftware แต่มีผู้จัดจำหน่ายเดียวกัน คือ Bandai Namco ซึ่งมาพัฒนาเกมภายใต้สตูดิโอในชื่อเดียวกันอย่าง Bandai Namco Studios ร่วมกับ Shift เกิดเป็นเกมนี้อีกทีหนึ่ง จะ Relate กันแค่ประมาณนี้ เป็นลักษณะของการได้รับแรงบันดาลใจ (อย่างมาก) มาจาก Souls Series เท่านั้น

📌

- เกมนี้มีฉากหลังเป็นโลกหลังการล่มสลาย (Post-apocalyptic dystopian) สภาพแวดล้อมที่นำเสนอออกมาจึงเน้นไปที่ซากปรักหักพัง และความเสื่อมโทรมเป็นหลัก

- ดีไซน์ตัวละครและอาวุธนั้นได้อิทธิพลมาจาก God Eater สูงมาก ก็เพราะได้ทีมงานเดิมมาไม่ว่าจะโปรดิวเซอร์อย่างคุณเคย์ตะ อิซุกะ หรือผู้กำกับ ฮิโรชิ โยชิมุระก็ตาม เรียกว่าหายห่วงเรื่องความเท่ เบียวกันให้สุดไปเลย

- จุดขายที่สำคัญจุดหนึ่งคือการสร้างตัวละคร ที่ให้อิสระค่อนข้างมาก เพลินสุดๆ กินเวลาไปหลักชั่วโมงเหมือนกันกว่าจะพอใจแล้วเริ่มเล่นจริงๆ สักที5

- คือ Template ที่เกมปรับมาให้ก็หล่อเท่สวยน่ารักอยู่แล้ว จะปรับเพิ่มเติมยังไงก็ออกมาดูดี และ Part ของเครื่องประดับ ก็สามารถหมุนๆ ย่อขยายไปอยู่จุดที่ต้องการได้ เปิดโอกาสให้พอจะปรับๆ จนเหมือนกับตัวละครจากเกม/อนิเมะที่ชื่นชอบได้ สุดแล้วแต่ความสร้างสรรค์และพยายาม

- การสร้างตัวละครครั้งแรกสำคัญมาก ควรตั้งใจให้ออกมาเป็นที่พอใจกับเราจริงๆ เพราะจะมีจุดสวยๆ ให้ถ่ายรูปเยอะ มีท่าโพสต์ดีย์ๆ เต็มไปหมด รวมถึงในคัทซีนเองเราก็มีส่วนร่วมด้วยเยอะมาก หลากหลายสีหน้าท่าทาง เรียกว่าใช้คุ้มจนเกินคุ้มเลย (สามารถไปปรับเปลี่ยนในเกมได้ทีหลัง แต่ไม่ละเอียดเท่าครั้งแรก)

📌

- ในส่วนของอนิเมชันท่าทางการต่อสู้ ค่อนข้างจะหงุดหงิดกับความลอยๆ ของมันที่ไม่เข้ากับสภาพแวดล้อม จะท่าวิ่งที่แปลกๆ ก็ดี หรือศัตรูตัวใหญ่ๆ แต่มีท่วงท่าการเคลื่อนไหวแบบแหกฟิสิกส์ ก็ต้องยอมรับว่าเป็นสิ่งปกติที่เจอบ่อยกับเกม JRPG ยิ่งด้วยความที่ใช้ Unreal Engine ในการพัฒนาด้วยแล้ว การจะบาลานซ์ความสมจริงลื่นไหล กับกราฟิคสไตล์การ์ตูนเข้าด้วยกันเช่นนี้ถือเป็นโจทย์ที่ยากมาก เพราะไม่ใช่ทุกเกมที่ใช้ Unreal Engine แล้ว Movement จะออกมารับกับอาร์ตสไตล์ได้ลงตัวแบบ Borderlands ไปซะหมด

- มีระบบ Blood Code ที่เปรียบเสมือนอาชีพของผู้เล่น ที่สามารถเลือกเปลี่ยนให้เหมาะกับสถานการณ์ได้ตลอดเวลา สกิลส่วนใหญ่ของแต่ละ Code สามารถนำไปใช้ร่วมกับ Code อื่นได้ ทำให้สามารถผสมกันออกมาเป็น Build การเล่นที่ถือว่าหลากหลายทีเดียว

- และเกมนี้อัพเลเวลแบบ Fix ค่าสเตตัส ดังนั้นจึงหมดห่วงว่าจะเล่น Build ไหนไม่ได้ เพราะสเตตัสจะไปขึ้นอยู่กับว่าคุณใช้ Code ไหน และมี Passive อะไรข่วยบ้างแทน

- ส่วนอาวุธนั้นเท่าที่ใช้ดูยังไม่ค่อยประทับใจกับความสมดุลเท่าไหร่ รู้สึกว่าถ้าไม่ได้บวกกับบอสแล้ว, บรรดาอาวุธหนักสองมือก็ยังเป็นใหญ่ได้เปรียบอยู่ดี ทั้งเรื่องความแรง การป้องกัน และทำให้ชะงักได้

- Level Design ของเกมนี้ดูขาดๆ เกินๆ บางแมพเราชอบเพราะวางจุดต่างๆ ได้ดี มีการเปิดทางลัดถึงกันช่วยประหยัดจุดเซฟ หรือมีพื้นที่ลับที่ถ้าไม่สังเกตดีๆ ก็จะพลาดสิ่งสำคัญไป แต่บางแมพก็วกวนซับซ้อนแบบไม่ใช่เรื่อง คือมีแต่กลไกซ้ำๆ อย่างคันโยก (Lever) กับประตูมาเยอะเกินน แถมสภาพแวดล้อมอาคารทางเดินก็วิวเดิมหมด ไม่ได้มีอะไรใหม่ๆ ให้เจริญตาเลย

- ไอ้มุกคันโยกนี่ใช้ฟุ่มเฟือยมาก บางทีก็วางตำแหน่งไว้ไม่ค่อยฉลาด หนักสุดคือการเอากลไกของกุญแจ มาใช้ด้วย วะวะว่าไงนะะ ถ้าไม่มีกุญแจก็จะโยกเปิดประตูไม่ได้ ทั้งๆ ที่ก็เห็นมันตั้งอยู่ตำตาแบบนั้น

- พวก Object อย่างกล่องไม้ ลิฟต์ หรืออุปกรณ์ประกอบฉากต่างๆ ก็ถูกเอามารียูสรัวๆ ไม่ได้เปลี่ยนใหม่ให้เข้ากับสถานที่ใหม่ๆ เล้ย บางทีก็รู้สึกว่าโลเคชั่นนั้นๆ มันถูกจัดวางไว้ไม่ค่อยจะเมคเซ้นส์

- สิ่งที่ช่วยชีวิตเราให้ไม่หงุดหงิดกับแมพมากนักก็คือ Interface ของแผนที่นี่แหละ ที่จะมีจุดๆ เป็นรอยเท้าบอกว่าเราเคยเดินผ่านตรงไหนมาแล้วบ้าง อันนี้ช่วยเยอะมากสำหรับสายสำรวจเก็บครบทุกจุด รวมไปถึงมีกลไกการเปิดแมพเป็น % ให้รู้ด้วยว่าพื้นที่นั้นๆ Complete ไปแล้วหรือยัง

- นอกเหนือจากแมพแล้ว UI ในส่วนอื่นๆ ก็ถูกออกแบบมาให้ใช้ง่ายแบบง่ายสุดๆ ถ้าจะมีส่วนไหนที่ดูใช้ลำบากก็คือจงใจแหละ

- จุดเด่นอีกอย่างคือระบบ Partner ที่เราสามารถเลือกตัวละครในเรื่องมาจับคู่ลุยไปด้วยกันได้ แต่ละคนก็จะมีสไตล์การเล่นตาม Blood Code ของตัวเอง ซึ่งถ้าเลือกดีๆ เขาเหล่านั้นก็จะทดแทนในสิ่งที่ Build เราไม่มีได้ ที่สำคัญคือเก่งแบบเก่งเลยด้วย ช่วยเหลือได้เยอะมากๆ

📌

- Boss Fight ของเกมนี้ไม่น่าประทับใจเท่าไหร่ ความยากของบอสจะมาจากความรุนแรงเป็นหลัก ส่วน Moveset นี่เดาออกง่าย และไม่ได้หลากหลายนัก เจอครั้งแรกคุณสามารถจับทางและเทคเดียวผ่านได้ไม่ยากเลย ถ้าหากรู้กลไก mechanic ของเกมมาดีพอแล้ว

- ไม่ได้ถึงกับต้องพลิกแพลงอะไรมาก หรือมีกลยุทธ์ที่ 1 2 3 ให้เลือกใช้นัก เพื่อรับมือกับบอสแต่ละตัว

- ดีไซน์ของบอสนั้นจะเข้ากับ theme เกม แต่อาจไม่ถูกใจคนชอบบอสเท่ๆ นัก คือบอสจะเน้นความเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องสูงมาก มากจริงๆ คือไม่ได้เจอรอบเดียวแล้วจบๆ กันไป ชื่นชมว่าคิดส่วนนี้มาดี ที่ยกให้บอสแต่ละตัวดูมีความสำคัญ

📌

- ที่ว่ามาหมดนี้เป็น Part ของ Gameplay ซึ่งก็ดีบ้างร้ายบ้าง แต่ที่น่าสนใจจริงๆ นั้น กลับเป็นส่วนของการเล่าเรื่อง

- ระบบ Vestige ของเกมนี้จะเป็นการรวมรวบเอาชิ้นส่วนของความทรงจำแต่ละคนกลับมาเพื่อฟื้นฟูให้แก่เจ้าตัว ซึ่งก็จะทำให้ค่อยๆ ปะติดปะต่อความเป็นมาของเรื่องราวได้มากยิ่งขึ้น

- ผู้เล่นต้องไปเก็บ Vestige มาเพื่อดูเนื้อเรื่อง แลกกันกับความแข็งแกร่ง (สกิล) ที่มากขึ้น ก็ดูเป็นลูกล่อที่ดีให้ได้เสพเนื้อเรื่องกัน

- ฉากความทรงจำนั้นจะเป็นอาร์ตสไตล์แบบหุ่นปั้น ซึ่งถูกดีไซน์ออกมาแตกต่างกันไปแล้วแต่คนแต่สถานที่ ชอบมากเพราะมันไม่ซ้ำจำเจ ชวนให้เราตามดูจนจบแบบไม่อยากกด Skip เลย (เป็นข้ออ้างได้ใช่มะว่าเล่นนานกว่าจะจบ😂) มีการ Transition วัตถุไปมา แถมดนตรีก็เพราะฟังเพลินๆ อีก เสียดายว่าเพลงเดียวใช้มันแทบจะทุก Vestige. ฟังมากๆ ก็แอบเบื่ออยู่บ้าง

- การปะติดปะต่อเนื้อเรื่องผ่าน Vestige นั้น สามารถเชื่อมการเดินทางของตัวละครหนึ่ง มาบรรจบกับตัวละครหนึ่งได้ ระหว่างนี้เราก็จะพอมีภาพในหัว หรือลำดับ Timeline ได้ละ และสักพักก็จะเข้าใจสถานการณ์ในอดีตได้เอง โดยไม่ต้องให้เกมมันเล่าป้อนมาตรงๆ

- นึกสภาพว่าเหตุการณ์ในเกมนั้นเป็นปัจจุบัน เป็นแค่ไม่กี่ % ของเรื่องราวทั้งหมดที่เลือกมาเล่า การที่ได้เห็นภาพอดีตชัดเจนแบบนี้ จึงช่วยลดระยะห่างของตัวละครหน้าเก่าๆ ที่เค้ารู้จักกันมาก่อนอยู่แล้ว แต่เพิ่งมารู้จักกับเราไม่นานลงไป

- ในเกมจะมีออนเซ็นให้แช่ด้วย แต่ไม่ใช่แค่เอาขำๆ เพราะระหว่างแช่ก็จะมีให้เรากดเหมือนย้อนดูเหตุการณ์ที่ผ่านๆ มา ช่วยสรุปเนื้อเรื่องให้เราอีกทีหนึ่ง ส่วนนี้แสดงให้เห็นว่าทีมงานใส่ใจกับการเล่าเนื้อเรื่องมากจริงๆ

- ด้วยความที่อนิเมชั่นของเกมนี้มันแข็งๆ เวลาเป็นคัทซีนแล้วก็จะออกมาแปลกๆ น่าขัดใจ ทั้งท่าทางที่เกินจริงดูจูนิเบียวมากกก หรือบทพูดที่แบบพิรี้พิไรรอท่ากัน ยืนซึ่งๆ หน้าก็ไม่บวกสักทีรอให้พูดจบ หรือการเว้นช่องระหว่างคนถาม-คนตอบ ที่ดูนานไม่เป็นธรรมชาติแบบคนพูดจริงๆ คือเรียกว่าเป็นคัทซีนตามฉบับ JRPG มากๆ กี่ทีก็ไม่ชิน😅

- บทพูดค่อนข้างพังผิดกันกับตอนเล่าเรื่องในความทรงจำเลย อันนี้อยู่ที่ความชอบแล้วว่าใครจะโอเคกันมากน้อยแค่ไหน

- ทั้งนี้แล้วก็รู้สึกว่าเกมเพลย์มันถูกขับเคลื่อนไปด้วยเนื้อเรื่องพร้อมๆ กันไม่ทิ้งกันไปไหน ทุกอย่างมันมีผลกระทบถึงกัน แน่นอนว่าการดีไซน์ฉากจบก็ด้วย ก็สัมพันธ์กับกฏธรรมชาติของเรื่องมาก

- Game Progress Route ไม่แน่ใจ แต่เท่าที่ดูมันน่าจะมีลำดับการเล่นแค่วิธีเดียวนะ คือไม่ว่าจะมีทางแยกเยอะยังไง สุดท้ายเราก็จะต้องไปทางที่ถูกต้องทางเดียว

📌

- ตลกร้ายของ Code Vein คือเรารู้ลูกไม้ของเกม แนวทางการเล่น วิธีเล่นให้คุ้มที่สุดหมดแล้ว แต่มันเพราะว่าเราชินมาจาก Dark Souls ต่างหาก คือหยุดเอาไปเปรียบเทียบไม่ได้เลย ขนาด Sekiro ที่เป็นเกมจากค่าย FromSoft แท้ๆ รูปแบบการเล่นยังหนีโซลส์ออกไปได้มากกว่าเกมนี้

- ต้องยอมรับว่า การมีสามัญสำนึกในการเล่นแบบ Dark Souls ช่วยให้เกมง่ายขึ้นจริงๆ

- แถมมันคล้ายกันมากกระทั่ง Concept ของเนื้อเรื่องด้วยซ้ำ

- ถ้าถามว่าแล้วมันเหลืออะไรที่ดีงามผุดผ่องจริงๆ อยู่บ้าง ก็คงเป็นการสร้างตัวละคร กับ Ufotable ที่ทำอนิเมชั่นเปิดเกมนี้ด้วย

📌

- รวมๆ แล้ว. ก็ถือว่าเป็นอีกเรื่องราวหนึ่งที่นำเสนอความงดงาม เปรียบกับความสัมพันธ์ของผู้คน เบ่งบานออกมาเผชิญหน้ากับโลกอันโหดร้ายได้อย่างลงตัว แม้จะขาดรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ไปบ้าง

- ไม่ถึงขนาดจะหลงรักเกมนี้แบบหัวปักหัวปำ แต่เราเลือกจะมองข้ามข้อเสียไป และเล่นมันให้สนุกได้อยู่

- และทั้งหมดนั้นก็คือ Code Vein

(ของเก่าจากเพจ Juke With Me - รีวิวหลังเกมออกไม่นาน)

📌 Nioh คืออะไร และเหมาะกับใครบ้าง ?

- เกม Action PRG ที่มีฉากหลังเป็นญี่ปุ่นในยุคเซนโกคุ

- อาร์ตสไตล์ญี่ปุ่นจ๋า มีทั้งธรรมชาติสวยงามและซากปรักหักพังจากสงคราม

- อิงประวัติศาสตร์ มีตัวละครจากตระกูลดังๆ ในสมัยนั้น เช่นอิเอยาสุ โนบุนางะ ฮิเดโยชิ มาปรากฎด้วย แต่ดัดแปลงให้เข้ากับเกมอีกที

- ขึ้นชื่อเรื่องความยาก ทั้งการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว และศัตรูที่โจมตีคุณได้ถึงตายเป็นเรื่องปกติ

- จึงเหมาะกับผู้เล่นที่ต้องการความท้าทาย และ Experienced พอตัวสำหรับเกมแนวแอคชั่น เพราะไม่มีปรับระดับความยาก สายเสพเนื้อเรื่องชิลๆ ต้องปรับตัวกันหนักถ้าคิดจะหยิบมาเล่น

---

และสำหรับภาค 2 . สิ่งแรกที่เริ่มมาก็ว้าวเลย คือ

📌 สร้างตัวละครเพลินมากก

- Nioh 2 มีระบบ Character Creation เพิ่มมา ต่างจากภาคแรกที่เราจะรับบทบาทเป็น William ซึ่งเป็นตัวละครที่มีหน้าค่าตาชัดเจน

- มาคราวนี้คุณจะเป็นใคร เพศไหนก็ได้แล้ว

- ให้อิสระค่อนข้างสูง ด้วยเมนูที่เข้าใจไม่ยากนัก ปรับแต่งได้ทั้งร่างคนและร่างโยวไค (ปิศาจ)

- สามารถ Upload ตัวละครที่คุณสร้างเอาไว้ แล้วตัวเกมจะ gen โค้ดให้เอาไปแชร์ให้คนอื่น กรอกโค้ดแล้วโหลดตัวละครของเราไปใช้ได้ด้วย อันนี้อย่างเวิร์ค

---

📌 เพราะคุณจะเป็นใครก็ได้ ส่วนร่วมกับเนื้อเรื่องหลักจึงน้อยลง

- ด้วยความที่ตัวละครมันมาจากการ Custom ของเรา จะเป็นชายหรือหญิง เด็กหรือแก่ก็ย่อมได้ พอไปอยู่ในเนื้อเรื่องแล้วก็เลยต้องจำใจเป็นใบ้ ได้อย่างเสียอย่างกันไป

- ต่างจากวิลเลี่ยมในภาคแรกที่มีการโต้ตอบกับตัวละครอื่นๆ ดูเป็นผู้เป็นคนกว่า

- เพราะเป็นใบ้นี่แหละ ทำให้หลายๆ ฉากสำคัญก็ทำได้อย่างมากแค่แสดงสีหน้าเท่านั้น

- โชคดีที่มีชื่อให้เรียกอยู่ (คล้ายกับการแทนตัวละครหลักด้วย Bearer of the Curse / Ashen One ในดาร์คโซลส์) ก็ยังพอจะดูคัทซีนแล้วอินตามไปได้ ถ้าไม่ติดว่าคุณสร้างตัวละครประหลาดหลุดโลกเกินไปนัก จนเข้าฉากแล้วแตกต่างจากชาวบ้านเขาแบบสุดๆ55

---

📌 Gameplay

- Nioh 2 ยังคงไว้ซึ่งความรวดเร็วของแอคชั่น ประสาทสัมผัสต้องดีเพราะทุกอย่างมันไวจริงๆ

- และถ้าคุณประมาทหรือเตรียมตัวมาไม่ดีพอ บทลงโทษของมันก็รุนแรงหนักหน่วง ชวนให้ท้อจนอยากถอนตัวกลับไปฟาร์มมาใหม่มากๆ

- ถ้าให้เปรียบเทียบกับ Sekiro ซึ่งเป็นเกมที่มีธีมคล้ายๆ กัน ทางฝั่ง Nioh 2 จะให้ความสำคัญกับการเตรียมไอเทมให้พร้อม เพราะ Stat จะมีผลต่อการต่อสู้สูงมาก

- ต่อให้คุณจะ Git Gud ฝึกปรือฝีมือมาจนคล่องแล้ว แต่ถ้ากับลูกน้องตัวเดียวยังต้องฟันเป็นสิบๆ Hit เพื่อล้มมันก็คงจะไม่ใช่เรื่อง

- ต่างกับ Sekiro ที่จะเน้นให้เราได้เรียนรู้ประสบการณ์การต่อสู้ และเอาชนะศัตรูได้ด้วย Muscle Memory ของคุณมากกว่า โดยไม่ต้องพะวงถึง Build

- สิ่งหนึ่งที่ Nioh 2 ดีขึ้นจากภาคแรก คือความรู้สึกที่ว่าศัตรูมันไม่ค่อยสมดุลสักเท่าไหร่ เดี๋ยวเก่งเดี๋ยวอ่อน พวกนี้ไม่ค่อยเจอแล้ว

- แต่กลับกัน ความ ปสด. จะไปอยู่ที่แมพมากกว่า
โคตรรรรหลงงงงงงง หลงจนท้อ เป็น Level Design ระดับนรกแตก บางทีติดอยู่กับจุดๆ หนึ่งเป็นชั่วโมง เพื่อจะมารู้ว่ามันมีกลไกพิเศษเพื่อเปิดทางไปต่อ ซึ่งเป็นแค่จุด Interact เล็กๆ ที่ต้องเดินให้ทั่วแล้วสังเกตเอา

- และโดยเฉพาะถ้าคุณแพนิคมัวแต่หนีศัตรูด้วยแล้วล่ะก็ มีโอกาสที่จะวิ่งกลับมาอยู่จุดเดิมสูงมากก ปั่นกันสุดๆ

---

📌 เข้าสู่ความเป็นภูติผีปิศาจมากยิ่งขึ้น

- ตัวเอกในภาคนี้สามารถดึงพลังโยวไค (ภูติผีในเกม) มาใช้ได้ รวมถึงสามารถแปลงร่างได้เองด้วย

- ทำให้ผู้เล่นสามารถพลิกแพลงได้เยอะขึ้น ไม่เพียงแต่สกิลอาวุธ แต่ยังสามารถ Custom ได้ว่า จะเอาสกิลของโยวไคตนใดมาใช้ ไม่ว่าจะทั้ง Active หรือ Passive

- ความหลากหลายของ Build เยอะขึ้นเพราะความแข็งแกร่งของคุณจะสามารถขึ้นได้กับ

-> ค่า Status
-> อาวุธ / เกราะ
-> Skill Point ของสายต่างๆ
-> Guardian Spirit ตัวหลักและตัวรอง
-> Soul Core (พลังโยวไค) ที่ติดตั้ง
-> อื่นๆ เช่นเครื่องประดับ / Option ของอาวุธ หรือ Clan ที่เข้า

- มีพื้นที่พิเศษเพิ่มเข้ามาใน Mission เรียกว่า Dark Realm ซึ่งจะเป็นพื้นที่ของโยวไคที่จะส่งผลต่อสกิลการแปลงร่างของเรา รวมถึงเพิ่มความท้าทายในการต่อสู้ขึ้นไปอีก

---

📌 เป็น More Nioh มากกว่า Nioh ที่ยกเครื่องใหม่

- จริงๆ แล้วเกมนี้เรื่องกราฟิคหรือ Texture ทำมาดีมากๆ โดยเฉพาะการปั้นโมเดลตัวละคร ที่ละเอียดเนียนตาสุดๆ (โดยเฉพาะตัวละครหญิง😂)

- แต่ภาค 2 ยังมองด้วยตาเปล่าแล้วไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก

- ส่วนหนึ่งก็มาจากว่าหลายอย่างยังคล้ายเดิมทั้งหมด ทั้งหน้าตาเมนู หรือไอเทมที่เอาของเดิมมาใช้

- ระบบในตัวเกม ทั้ง Dojo สำหรับฝึกฝน / Blacksmith สำหรับการอัปเกรด และอื่นๆ จัดวางไว้เหมือนเดิม ข้อดีคือผู้เล่นหน้าเก่าไม่ต้องปรับตัวอะไรมากเลย

- มีแค่บาง UI เท่านั้นที่เปลี่ยนหน้าตาใหม่ให้ใช้งานง่ายขึ้น เช่นหน้าอัพ Skill Point แต่จริงๆ แล้ว Mechanic ก็ยังเหมือนเดิม

- จึงดูเป็น Nioh ที่ได้รับการปรับปรุงจุดด้อย ทำให้เกมคอมพลีทขึ้น มีเนื้อเรื่องใหม่ๆ Mission ใหม่ๆ มาให้ได้ลุยกันอีกรอบ ไม่ได้พัฒนาแบบก้าวกระโดดจนน่าตกใจอะไร (ยกเว้นระบบ Character Creation)

---

สรุปภาพรวมเท่าที่เล่นแล้ว

📌 สิ่งที่ Nioh 2 ทำได้ดีขึ้น

- การจัดวางโลเคชั่น มุมกล้อง การใช้แสงเงาสวยขึ้นมากกกๆ โดยเฉพาะในคัทซีน

- แมพที่ดูแล้วไม่ค่อยเจริญหูเจริญตาลดลง

- แม้กระทั่ง Twilight Mission ก็ดูสวยขึ้น ไม่แดงแจ๋แล้ว

- สีสันฉูดฉาด เอฟเฟคต์วิบวับ เครื่องเงา แสงสะท้อนจากเกราะ เห็นแล้วตาเป็นประกาย

- ดีไซน์โยวไคเท่สุดๆ โดยเฉพาะบรรดาบอสทั้งหลาย

- ระบบการต่อสู้ครบเครื่อง ทั้งกายภาพ และพลังเหนือธรรมชาติ ตามแต่จะเลือกใช้

- ชอบลูกเล่น Burst Counter ที่ใส่มาเพื่อเพิ่มวิธีการรับมือกับศัตรูให้มากขึ้น

---

📌 สิ่งที่ยังแปลกๆ เหมือนเดิม

- แมพวกวน และไม่ค่อย Make Sense ที่ต้องวิ่งอ้อมโลก เพื่อกลับมาเปิดประตูทางลัดกลับมาจุดเดิม

- พาร์ทเนื้อเรื่องยังมีฉากที่แบบอิหยังวะ / จังหวะนรกเยอะอยู่ บทพูดก็ยังดู Cliche สมเป็นเกมฟีลลิ่งลูกผู้ชายจ๋า

- ใช้วิธีเล่าเรื่องที่ค่อนข้าง Time Skip แค่ดูคัทซีนอย่างเดียวอาจจะไม่พอ ต้องอ่านคำอธิบายก่อนเริ่มเควส / ตอนจบเควส หรืออ่านเนื้อหาคร่าวๆ ตอนโหลดฉากประกอบ เพื่อทำความเข้าใจกับเหตุการณ์

- แต่ถ้ามองรวมๆ แล้ว เนื้อเรื่องก็โอเคขึ้น ครบรส แถมผูกกันกับภาคแรกเนียนๆ

- ติดแค่วิธีการนำเสนอมันออกมาเท่านั้นเอง

---

เป็นเกมปี 2020 ที่ส่วนตัวแล้วไม่ได้รอคอย แต่จากที่ได้สัมผัสแล้ว ทำให้รู้สึกได้เลยว่านี่เป็นอีกซีรียส์หนึ่ง ที่ควรยกย่องได้อย่างเต็มปากว่ามาถูกทางมาก

ในช่วงที่เราควรอยู่แต่ในบ้านแบบนี้ หากคุณกำลังมองหาเกมแอคชั่นแบบถึงใจสุดๆ สักหนึ่งเกม ที่สามารถใช้เวลาอยู่กับมันได้นาน จนถึงนานมากๆ ล่ะก็

Nioh 2 ก็ตอบโจทย์ตรงนี้ได้ดีที่สุดแล้ว

(ของเก่าจากเพจ Juke With Me - รีวิวหลังเกมออกไม่นาน)

สิ่งแรกเหนืออื่นใดที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือ

📌 แมวเยอะมากกกกก🐈🐈🐈🐈

- นอกจากโมเดลของตัวละครที่ละเอียดชนิดซูมดูแล้วตกใจ ก็มีแมวนี่แหละ เห็นมาตั้งแต่ปากซอยว่าตั้งใจทำมาก ทำดีแบบที่ไม่เคยเห็นเกมไหนทำได้มาก่อน

- ใช้คุ้ม มีแมวให้ดูเยอะกันจนอิ่มเท่าที่จะใส่มาได้ แถม Movement ที่ออกมาก็คือดูแล้วเป็นแมวจริงๆ เลย

- ใครที่เล่นแล้วกำลังทำท่าว่าจะไม่ชอบ ก็ควรจะหันมาชอบได้เพราะแมวแหละน่า

---

📌 ทำทุกอย่างให้อลังการ สมกับความเป็นเกมฟอร์มยักษ์

- Midgar อันเป็นฉากหลังของเกมนี้ ถูกรังสรรค์ออกมาได้แบบจินตนาการระเบิดมากๆ

- เข้าใจสภาพความเป็นอยู่ได้ภายในคัทซีนเปิดเรื่อง ไม่ต้องอาศัยการเซ็ตอัพบอกเล่าอะไรที่ดูอีหลักอีเหลื่อ

- เกมสามารถรักษาความอลังการนี้ได้ตลอด ไม่ว่าจะทิวทัศน์ที่เห็นเป็นมุมกว้างเลนส์ Wide อยู่บ่อยครั้ง หรือการเล่าเรื่องแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อบรรจงเอาทุกรายละเอียดออกมาให้เห็น แบบไม่กลัวว่าเกมจะยาว

- สิ่งเหล่านี้เราจะสัมผัสไม่ได้ ถ้าไม่ได้เห็นว่า FF7R นั้นมีโลเคชั่นที่หลากหลาย

- เดินเหินไปทุกสถานที่ วิ่งกันไกลเป็นกิโล ระยะทางสมกับที่เมืองมันกว้างจริงๆ และสมกับที่ขนาดไฟล์เกมมันใหญ่มากด้วย

- จริงๆ แค่เรื่องเที่ยวเพลิน - Screenshot กันสะใจนี่ ก็ถือว่าคุ้มค่ามากแล้ว

---

📌 Gameplay

- รูปแบบการเล่นมีทั้งการวิ่งไปตามด่านเพื่อแก้ปริศนาหาทางไปต่อ และการเข้าฉากต่อสู้

- การต่อสู้เป็นลูกผสมของระบบเดิม ระหว่าง Turn-based กับแอคชั่น คือสามารถบังคับการโจมตี หลบหลีกคู่ต่อสู้ได้อิสระ แต่การจะ Action อื่นๆ เช่นใช้สกิล / เวทย์ / ไอเทม นั้นล้วนจะต้องรอให้เกจ ATB (Active Time Battle) ขึ้นมาก่อน ถึงจะเลือกทำสิ่งที่ต้องการได้

- แรกๆ ก็งงๆ แยกประสาทไม่ถูกเหมือนกัน แต่สักพักจะชินมือและสนุกไปกับการบริหาร ATB ของแต่ละตัวละครในปาร์ตี้ได้เอง

- หรือถ้าไม่ไหวก็มีโหมด Classic ให้เล่น ตัวละครจะบังคับเองอัตโนมัติ ปล่อยหน้าที่ให้เราคอยกด ATB เอาอย่างเดียว

- ภาพรวมตลอดการเล่น คือแทบจะไม่รู้สึกว่าต้องฟาร์ม/Grinding อะไรมากมายเลย

- เราแค่สู้ไปตามซีน ไม่ได้เหนื่อยล้ากับมันเท่าไหร่ เนื่องมาจากอานิสงส์ที่ว่าตัวเกมเองก็ไม่ได้เป็น Open World แต่เคลียร์เป็นฉากๆ ไป

- เพราะพาร์ทต่อสู้มันถูกจัดวางมาแค่แบบพอดีๆ ดังนั้นสำหรับบางคนอาจจะรู้สึกไม่ได้บู๊จุใจมาก ถึงขั้นน่าเบื่อด้วยซ้ำ

- เกมมันถูกแบ่งน้ำหนักของการเล่าเรื่อง ต่อสู้ และพัซเซิ่ลเอาไว้ในความสำคัญที่ใกล้ๆ กัน

- ส่วนที่รู้สึกน่าเบื่ออยากเล่นให้ผ่านไปไวๆ ก็คงจะเป็นพัซเซิ่ลนี่แหละ ไม่ค่อยดึงดูดเท่าไหร่ ยังมาทรงว่าต้องทำอะไรสักอย่างแบบอ้อมค้อมเพื่อปลดล็อคทางไปต่อ เหมือนกันกับที่หลายๆ เกม RPG เป็น

- ก็โชคยังดีว่าในแต่ละแมพ ไม่มีวิวซ้ำซากให้เห็นนัก ก็เลยได้ความสดใหม่อยู่ตลอด ไม่ง่วงจนเกินไป

---

📌 อำนวยความสะดวกในการเล่น และลดสิ่งไม่จำเป็นให้เหลือน้อยที่สุด

- เหมือนทีมพัฒนาน่าจะทำการบ้านและเรียนรู้จากหลายๆ เกมมาเยอะแล้ว เพราะรู้สึกว่าทุกอย่างที่ใส่เข้ามามันมีประโยชน์หมด ไม่มีระบบไหนน่าตัดออกเลย

- รวมไปถึง In-game UI ก็ดีไซน์ออกมาใช้ง่ายมากๆ เท่าที่จะใช้ง่ายได้

- การปรับแต่งตัวละครแต่ละตัวก็ง่าย เปิดอิสระการเลือกสกิลด้วยระบบ Materia

- รวมไปถึงว่าอาวุธก็สามารถเลือกใช้ได้แบบไม่ต้องแคร์เท่าไหร่ว่าอันไหนดีกว่ากัน เพราะการอัปเกรดมันค่อนข้างสมดุล อันที่เป็นอาวุธต้นเกม พลังโจมตีน้อย ก็ใช้ Skill Point อัปเกรดน้อย ส่วนอันที่เยอะก็ใช้เยอะตาม ดังนั้นถ้าหวง Buster Sword ดาบประจำตัวของคลาวด์ไม่อยากเปลี่ยน ก็ใช้ลุยยันจบเกมได้

- อันที่ประทับใจที่สุดน่าจะเป็นเรื่องการบอก Quest Progress ว่าเควสขณะนี้ดำเนินไปถึงไหนแล้ว สรุปให้ฟังเป็นลำดับเหตุการณ์ เผื่อเราตามเนื้อเรื่องไม่ทันไว้ให้ด้วย

- ไม่รู้ไฟนอลภาคเก่าๆ มีมั้ย แต่เห็นแล้วชอบมากจริงๆ มันจะมีประโยชน์มากกับมนุษย์ที่ชอบรับเควสย่อยหลายๆ เควสพร้อมกัน แล้วปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ถูก

- แถมบางครั้งก็มีบอก Objective ที่ยังเข้าถึงไม่ได้ขณะนั้น ให้จำไว้กลับมาแวะดูทีหลังด้วย. User Friendly
จัดๆ

---

📌 Texture ที่น่ากำหมัด สวนทางกับโมเดลตัวละครที่ดูดี

- สิ่งที่คนเล่นบ่นอุบอิบเป็นเสียงเดียวกัน คือเรื่องของ Texture สิ่งแวดล้อมว่ามันหยาบมาก

- เอาจริงๆ ก็ไม่ใช่ทั้งหมด มีแค่บางช่วง แต่ถ้าเห็นก็คือเห็นเด่นเตะตาเลย เช่นดอกไม้ที่เป็นเหลี่ยมโพลีกอน (และคัทซีนยังจะกล้าเอามุมกล้องซูมไปหา) หรือพื้นผิวของเหล็กเกาะสนิมที่ภาพแตกกระจุย ขัดกันกับความละเอียดของโมเดลตัวละครที่สุดจะ UHD (ขนาดที่ว่าดาบคลาวด์ยังซูมดูชัด สะท้อนแสงวิบวับ)

- เพราะฉะนั้น น่าจะต้องบอกว่าความละเอียดของ Texture มันไม่สม่ำเสมอกันมากกว่า

- ถ้ามองข้ามจุดนี้ไปได้ก็ไม่มีปัญหา ถือว่าเล็กน้อยมากๆ เมื่อมันถูกชดเชยมาด้วย Art Direction ที่ดี ทั้งการจัดวางแสงเงา การเล่นสีสัน ทำให้ทุกๆ ฉากยังสวยตรึงตาได้ ชนิดที่ไม่อายเกม AAA เกมไหนเลยในช่วงปีใกล้ๆ กัน

---

📌 เพราะมีผู้คน, Midgar จึงดูสมจริงจับต้องได้

- ไม่ได้รู้สึกว่าทั้งเรื่องนี้มีกันอยุ่แค่แก๊งตัวละครหลักอย่าง Avalanche หรือชินระเพียงไม่กี่คน

- เพราะเราจะได้เห็นผู้คนเดินเพ่นพ่านตามจุดชุมชน (และแน่นอน. แมวด้วย) พร้อมมีบทพูดที่ฟังแล้วดูมีชีวิตชีวามาก เติมมิติให้สมกับความเป็นเมืองขึ้นเยอะ ไม่ว่าจะไปที่ไหน

- ที่สำคัญมัน Full Voice ด้วย มีเสียงพากย์กับทุกสิ่งอย่างในเกม!

- ถ้าเป็นเกมสไตล์ Old School มันก็คือการกดพูดคุยกับตัวประกอบนั่นแหละ เพียงแต่ว่า FF7R อันนี้เราเดินผ่านก็จะได้ยินผู้คนคุยกันจ๊อกแจ๊กเลย บางทีก็คุยหลายวงซ้อนกันด้วย เลยดูเป็นธรรมชาติดี

- มีทั้งคุยเรื่องสัพเพเหระ ไปจนถึงออกความคิดเห็นกับสถานการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้น เป็นเสียงสะท้อนจาก Public ว่าพวกเขาคิดเห็นยังไง กับเหตุการณ์ที่ตัวละครหลักๆ ได้กระทำลงไป

- แต่อันนี้ต้อง Note นิดนึง ว่าเกมมันขึ้น Subtitle ให้แค่บทพูดหลักๆ เท่านั้น ถ้าอยากให้มีซับของบรรดาตัวประกอบด้วย ต้องไปเปิด Chat Dialog ในหน้าตั้งค่าก่อน (จริงๆ น่าจะเปิดไว้เป็นค่าเริ่มต้นไปเลยนะ)

---

📌 Final Fantasy VII จากการได้สัมผัสครั้งแรก

- ไม่ทราบว่าเนื้อเรื่องมันถูกปรับเปลี่ยนจากต้นฉบับไปมากขนาดไหน แต่ถ้ามองในมุมมองของคนที่ได้เล่นแบบสดใหม่เลย ต้องบอกว่าพาร์ทเนื้อเรื่องถูกดีไซน์ไว้ดีมาก ครบรสทุกอารมณ์ และดำเนินไปด้วยจังหวะที่กำลังพอดี

- เชื่อว่านี่คงบาลานซ์ที่สุดแล้วล่ะ ที่จะต้องใส่ตัวละคร, โมเมนต์ หรือดนตรีเข้ามา เพื่อเอาใจแฟนๆ หน้าเก่า แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ทิ้งให้ผู้เล่นหน้าใหม่นั่งงงอยู่กลางทาง ไม่รู้ที่มาที่ไปว่ามันคืออะไรจนเกินไป

- สคริปต์ปลีกย่อยของแต่ละเหตุการณ์ยังขาดความสมจริง ออกจะโอเวอร์ไปทางการ์ตูนญี่ปุ่นอยู่ด้วยซ้ำ หลายๆ อย่างก็ได้แต่ตั้งคำถามว่ามันทำได้จริงดิ (5555)

- แต่ก็พอเข้าใจได้ เพราะจะรีเมคยังไง เนื้อเรื่องมันก็ยังต้องอยู่ในแนวทางของ Original อยู่บ้าง

- ดังนั้นก็เห็นแล้วแหละว่าพยายามให้ทุกอย่างมันเนียนไม่ขัดตาที่สุด เท่าที่จะทำได้แล้ว

- สุดแห่งดีก็คือคัทซีน ดูอิ่มดูเพลินมาก ยัดมาเยอะเท่าที่จะยัดได้ ประกอบกับว่าเนื้อเรื่องมันแทบจะเดินตลอดด้วยแล้ว เลยรู้สึกเหมือนกับว่าได้ดูอนิเมชั่นเรื่องยาว (ยาวจัดๆ) แบบม้วนเดียวจบเลย

- เล่าเรื่องเข้าใจง่าย ตัดต่อลำดับเหตุการณ์ดี ส่งต่อมุมกล้องกันดี

---

📌 อื่นๆ

- เฟรมเรตมีตกบ้าง ส่วนใหญ่คือตอนสู้นั่นแหละ เหมือนกับเป็นสัญญาณว่าตัวเกมมันปริ่มกับสเปค PS4 สุดๆ แล้ว ถ้าไป PS5 ล่ะก็ไม่ต้องห่วงยังไงยังงั้น 😂

- ก็ถ้าเกิดว่าเกมได้ลง PC ด้วยจริงๆ มันคงไปสุดทางได้เลย เพราะทำเฟรมเรตลื่นๆ ได้ รวมถึง Texture ที่ถ้าเกมไม่อัปเดตแก้ให้ ก็คงมีชาว Mod มาช่วยปรับปรุงอยู่ดี

- View Distance ไกลสุดลูกหูลูกตา เห็นมอนสเตอร์ทุกตัวมาแต่ไกล เท่าที่ฉากจะไกลได้ เลยรู้สึกว่าทุกสิ่งที่สายตาเราเห็นมันสามารถไปถึงและสัมผัสได้จริงๆ

- เสียงพากย์ตัวละครหลักเทพทุกคน เราเลือกเป็นเสียงญี่ปุ่น และรู้สึกว่ามัน Express ความรู้สึกของตัวละครออกมาได้จริงๆ

- ประทับใจแอริธมาก ตอนแรกไม่ค่อยอะไรกับตัวละครนี้เพราะลุคดูธรรมดา แต่พอได้ฟังน้ำเสียงสำเนียงการพูด ประกอบกับจริตท่าทางด้วยแล้ว.. น่ารัก!

---

📌 โดยรวมแล้ว

Final Fantasy VII Remake คือเกมที่สเกลใหญ่มากๆ กับทุกอย่าง ทั้งสถานที่ เนื้อเรื่อง หรือความยาวของตัวเกม เล่นจนคุ้มแบบไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่นๆ ที่จะตามมาเลย

มีบางอย่าง Awkward อยู่บ้าง แต่ถ้ามองโดยภาพรวมก็คือเกมที่สนุก รู้จักเอนเตอร์เทนคนเล่นได้จริงๆ เป็น คุ ณ ภ า พ ระดับที่น่าจะทำให้ผู้เล่นทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะชอบแนวไหน ก็เล่นเกมนี้สนุกได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง (ถ้าเล่นจนจบ)

(ของเก่าจากเพจ Juke With Me - รีวิวหลังเกมออกไม่นาน)

สำหรับแฟน LoL แล้ว จะบอกว่าฝันเป็นจริงก็คงไม่เกินไป
เพราะในที่สุดคุณก็จะสามารถหยิบตัวละครตัวโปรดของคุณมาเล่นได้ทุกที่ทุกเวลา
.
และถึงจะช้ากว่าตลาดไปนิดหน่อย แต่ Wild Rift ก็ถือว่าทำการบ้านมาครบรอบด้าน สำหรับการปรับปรุงเอา League of Legends ฉบับดั้งเดิม มาย่อนิดขยายหน่อย ให้เหมาะกับการเล่นบนสมาร์ทโฟนที่สุด

-

เรื่องแรกที่ผู้เล่นจาก PC ต้องปรับตัว ก็คือ

📌 การเปลี่ยนจากเลื่อนหน้าจอเอง มาเป็นการล็อคมุมกล้องกับแชมเปี้ยน

ซึ่งจะทำให้มุมกล้องถูกเลื่อนตลอดเวลา และอาจไม่สะดวกในการสอดส่องดูพื้นที่ รวมถึงบางคนก็ไม่สะดวกกับการเล่นตัวละครที่มี Mobiliity สูง ๆ ต้องพุ่งไปพุ่งมาด้วยเช่นกัน
.
ทั้งนี้แล้วเกมก็ยังทำให้คุณสามารถเลื่อนจอเองได้อยู่ เพียงแต่จะเน้นที่การล็อคกลางตัวแชมเปี้ยน (ตัวละครที่คุณควบคุม) เป็นหลัก

-

📌 ความง่ายของ Tutorial

ถูกส่งมอบให้ผู้เล่นแบบ Step by Step. เป็นมิตรในระดับที่ต่อให้คุณไม่เคยเล่น MOBA มาก่อนเลยก็เข้าใจ ส่วนฝั่งของผู้เล่นที่มีประสบการณ์แล้ว ก็มีปุ่ม Skip มาให้คุณกระโดดไปสู่เกมจริงได้เลยเหมือนกัน (แต่แนะนำว่าควรเล่น Tutorial เพราะยังไงก็ต้องเรียนรู้การควบคุมใหม่)
.
ความง่ายในการเริ่มต้นเล่นอีกอย่าง คือตัวเกมจัดวาง Preset ของตัวละครมาให้ล่วงหน้าเรียบร้อย เพื่อบอกอ้อม ๆ ว่าตัวที่คุณเลือกเป็น Role อะไร ควรใช้ Spell อะไร และแนะนำ Item ให้ว่าควรออกอะไรบ้างด้วย

-

📌 Controls

ดีไซน์วิธีการควบคุมใหม่ เพื่อให้เหมาะกับการเล่นแชมเปี้ยนทุก ๆ ตัวด้วยการทัช แทนการกดคีย์บอร์ดและเมาส์แบบเดิม
.
บางตัวที่เล่นบน PC ยาก มาเล่นบนมือถืออาจมีตัวช่วยให้มันง่ายขึ้น
หรือบางตัวเล่นง่ายบน PC แต่มาลงบนมือถือกลับยากกว่าเดิม
.
ตัวอย่างเช่น ตัวละครที่ยิงเป็น Skill Shot ต้องอาศัยการเล็งเป้าให้โดนศัตรู เกมก็จะช่วยเหลือให้ว่าคุณล็อคเป้าศัตรูตัวไหนอยู่แล้ว ก็กดแล้วปล่อยได้เลย สกิลที่ออกจะไปตรงเป้า โดยไม่ต้องเสียเวลากดค้างแล้วเล็งเอง
.
ส่วนนี้จะเป็นประโยชน์กับแชมเปี้ยนที่สกิลเป็นเล็งเป้าแบบออกท่าไว เช่น Yasuo (แทงดาบ) หรือ Zed (ปาดาวกระจาย) เพราะโอกาสโดนสูง แต่ถ้าตัวไหนออกสกิลเป็น Projectile ช้าหน่อยกว่าจะถึงเป้า เช่น Lux (ปาบอลแสง) หรือตัวละครอื่น ๆ ที่ควรต้องเล็งเผื่อว่าศัตรูจะหลบ ก็จะทำให้สุดท้ายแล้วต้องเสียเวลาเล็งเองอยู่ดี
.
ในแง่ที่เกมช่วยให้ง่ายขึ้นยังมีอีก อยู่ในรูปแบบของการปรับวิธีการใช้สกิลไปเลย เช่น Lee Sin ที่สามารถพุ่งตัวไปยังที่ว่าง ๆ ได้ทันที โดยไม่ต้องปัก Ward หรือเล็งไปที่เพื่อนก่อน หรือท่าไม้ตายของ Jhin ที่คุณสามารถกดตำแหน่งที่ต้องการเพื่อยิงได้ โดยไม่ต้องลากนิ้วเล็งให้ถูก
.
สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุผลว่า Riot Games ไม่สามารถยกเอาทุกตัวละครมาลงเวอร์ชั่นมือถือได้ทันที ต้องดูความเหมาะสมทั้งเรื่องการบังคับ และ Balance ให้แน่ใจก่อนเท่าที่จะทำได้ จึงค่อยปล่อยมาให้เล่นบนมือถือ

-

📌 Performance และ Graphic

Wild Rift ไม่กินสเปคอย่างที่คิด
ชิพเก่าหน่อย อายุ 2-3 ปี ก็สามารถทำ Framerate แตะที่ 60 ได้
ปรับแต่ง Graphic ได้ตามใจชอบ เข้าถึง Device ได้กว้างมาก ๆ แบบหายห่วง
.
กินแบตมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ส่วนตัวถ้าให้เทียบกับเกมอื่น ๆ ในเครื่องแล้ว Wild Rift ถือว่ากินน้อย อีกทั้งเครื่องก็ไม่ร้อนจนเกินไป เท่าที่ทดลองเล่นติดต่อกันหลาย ๆ เกมถือว่าน่าพึงพอใจเลย
.
ส่วนเรื่องกราฟิก สิ่งหนึ่งที่เกมนี้สะดุดตาเกมเมอร์เข้ามาก ๆ คือโมเดลของตัวละคร
เพราะ Riot ลงทุนปั้นใหม่ จนแทบจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าดูดีกว่าเกมต้นฉบับไปเยอะมากกก 55
.
เท่านั้นไม่พอ, Skin ของแต่ละตัวละครก็ขายกันอลังการ มีอนิเมชั่นหวือหวาให้ดูที่หน้า Store แบบที่เห็นแล้วมันจะซื้อให้ได้เลย ที่สุดของความใส่ใจ แน่นอนว่าแลกกับการที่ยังมีไม่มาก เพราะมันก็ต้องทำโมเดลใหม่ด้วยเหมือนกัน
.
ส่วนอื่นนอกเหนือจากเรื่องโมเดล ทั้ง Texture, สภาพแวดล้อม, เอฟเฟคต์สกิล อยู่ในคุณภาพระดับเดียวกันกับ PC ให้ความรู้สึกว่าเป็นแมพ Summoner’s Rift เดิม ๆ ที่คุ้นเคย อาจมีรายละเอียดต่างกันบ้างเล็กน้อย คือฝั่งของ Wild Rift จะให้สีสันที่สดใส เล่นแสงเงาได้เนียนตาขึ้น (ให้ฟีลดิสนีย์ขึ้นได้อีก) ตามความใหม่ของตัว Unity Engine ให้ดูเข้ากันกับยุคสมัยไปในตัว

-

📌 ความแตกต่างอื่น ๆ จากเวอร์ชั่น PC

ที่เห็นชัดที่สุดก็คือเรื่อง Item ที่มีให้เลือกใช้งานได้น้อยลงกว่าเดิม ไอเทมที่อยู่ในสายเดียวกันแต่ต่าง Passive มักจะถูกเลือกมาลงเกมนี้แค่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น (เช่น Infinity Edge เอาไว้ ส่วน Essence Reaver โดนตัดออก) หรือบางทีก็เอาออกไปเฉย ๆ เลย เช่น Hydra หรือ Guinsoo ที่ทำให้แอบสงสัยเหมือนกันว่ามันมีเหตุผลอื่นอะไรหรือเปล่า ที่ทำให้ไม่ได้ใส่เข้ามา หรืออาจจะเพิ่มตามมาในภายหลัง
.
ไอเทมจำนวนมากที่โดนตัดออก ทำให้ความหลากหลายในการเลือก Build น้อยลงอย่างน่าใจหายตามไปด้วย น่าจะไม่ถูกใจผู้เล่นกลุ่มไอเดียพิเรนทร์พอสมควร ทั้งนี้ก็แลกมากับมีไอเทมที่เป็น Exclusive เฉพาะบนมือถือเพิ่มมาให้บ้างเล็กน้อย
.
นอกเหนือจากเรื่องการตัดไอเทมออก, Wild Rift ยังปรับเปลี่ยนให้สามารถออกไอเทมประเภทกดใช้ได้แค่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น โดยจับมันไปไว้ใน Slot พิเศษ ให้ออกเป็นไอเทมต่อขึ้นมาจากรองเท้าแทน ทำให้โมเมนต์ที่เราจะได้เห็น Hecarim กดไอเทมแบบหมดหน้าตักจนวิ่งไวเป็นจรวดสเปซเอ็กซ์ ไม่มีทางเกิดขึ้นกับเกมนี้
.
รวมไปถึงเรื่องที่ว่า Teleport เอง ก็โดนเปลี่ยนสภาพจาก Spell มาเป็นไอเทมให้ออก นั่นทำให้ Teleport เป็นอะไรที่เข้าถึงได้ยากกว่าเดิม ไม่สามารถใช้ได้ตั้งแต่ช่วงต้นเกมอีกต่อไป
.
Scale หลาย ๆ อย่างถูกปรับให้เหมาะสมกับ Pace ของเกมที่รวดเร็ว เพิ่มจำนวนเงินที่ได้ เพื่อทำให้ไม่เสียเวลาฟาร์มมากเกินไป (แน่นอน - Nasus ก็ถูกปรับให้เก็บ Stack เร็วขึ้นด้วย !) เอา Inhibitor และป้อมหน้าฐานศัตรูออก ทำให้การจบเกมยิ่งทำได้ไวมากขึ้น ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการดีไซน์ให้สอดรับกับความกระชับฉับไว ตามแบบฉบับของเกมมือถือ และเชื่อว่า Riot Games เองก็ทำการบ้านมาดีไม่น้อย ที่จับเอา LoL เดิมมาย่อยลงมือถือแล้ว Balance ยังไม่พังมากนัก แบบเคยแอบกลัว ๆ ไว้ก่อนหน้า

-

📌 โดยรวมแล้ว.

Wild Rift เป็นเกมที่เข้าถึงได้แบบโคตรง่าย มาพร้อม User Experience ระดับพระกาฬที่พร้อมปูพรมแดงต้อนรับคนที่ไม่เคยรู้จัก LoL มาก่อนอย่างดี เล่นสนุกลุกนั่งสบาย แต่ยังคงไว้ซึ่งคอนเซ็ปต์การส่งเสริมให้เล่นกันเป็นทีม แบ่งหน้าที่ ตำแหน่ง และสื่อสารกันให้เข้าใจ เอาไว้อย่างเหนียวแน่นเช่นเคย
.
ด้วยแรงโปรโมต + ความน่าเชื่อถือที่ได้รับการสั่งสมมาเป็นทุนเดิมอยู่แล้วสำหรับแบรนด์ LoL นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเกมมือถือ ที่จะสามารถยืนระยะได้ยาวนานแน่นอน รวมถึงหายห่วงสำหรับพาร์ทของ Esports ด้วย เพราะต้องบอกว่า Riot เป็นค่ายที่พร้อมในด้านนี้ที่สุดเบอร์ต้น ๆ ของโลกอยู่แล้ว

-

League of Legends: Wild Rift

เกมยอดเยี่ยม ผู้คนยิ้มแย้ม แต่ไม่มี Shaco.

(รีวิวไว้ในเฟซส่วนตัว ปีเดียวกับที่เกมออก)

เกมที่ทั้งชอบทั้งเกลียด จาก Dev ที่ทั้งชอบทั้งเกลียดเหมือนกัน
เป็น Nioh ที่ลอกฉลากออก แล้วแปะป้าย Final Fantasy เข้าไป
ส่วนใหญ่รู้จักกันจากมีม chaos ที่เกมมันย้ำคีย์เวิร์ดนี้บ่อยจัดจนฮา สรุปว่าอ๋อ เล่นจริงก็เป็นงั้นแหละ เอะอะมึงก็เคออสหมดทุกอย่าง

แต่ประทับใจสุดคือคาแรคเตอร์ของพระเอกเกมนี้ พี่แกโคตร based นี่มันตัวแทนของพวกเราที่หลุดไปในโลกแฟนตาซีชัด ๆ ไม่เคยสนแม่งสักอย่าง กูมาเพื่อฆ่าเคออสและทำลายทุกความ cliche ของเกมนี้เท่านั้น
บอสกำลังจะแนะนำชื่อมันก็ไม่รอฟัง, NPC จะร่ายประโยคยาวแม่งก็ตัดบทบอกขอสั้น ๆ ดิ๊ หรือตอนคัตซีนกำลังตึง อยู่ดี ๆ พี่ก็สบถขึ้นมาว่าบูลชิท ใส่หูฟังเปิดเพลงนู สะบัดตูดเดินหนีไปเฉยเลย

ถ้าสนใจเล่น, ต้องเลือกเสียงพากย์อังกฤษเท่านั้นถือว่าขอ ไม่มีเกมญี่ปุ่นพากย์อังกฤษเกมไหนจะ soul เท่าเกมนี้อีกแล้วจริง ๆ

2022

(รีวิวไว้ในเฟซส่วนตัว ปีเดียวกับที่เกมออก)

เกมที่ยิ่งเล่น ก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความรักในการเล่นเกมของคนสร้าง
จุดที่ทำให้เราชอบจะคล้าย ๆ Elden Ring คือซ่อนความลับกันเก่งมาก และสนุกมากจริง ๆ ที่ได้เดินตะล่อมไปเรื่อยแล้วเจอความลับนู่นนี่นั่นไม่รู้จักจบ
แถมพัซเซิลบางอัน พอได้รู้เฉลยแล้วโคตร mindblown

เกมนี้ไม่มีระบบสอนเล่น ข้อมูลทุกอย่างนำเสนอผ่านหนังสืออาร์ตบุ๊กที่สวยน่ารักแบบมีร้อยให้ล้าน ไม่รู้มันทำขายมารึยัง ถ้ายังก็ทำเถอะ